Last updated: 6 พ.ย. 2560 | 1149 จำนวนผู้เข้าชม |
เขย่าค้าปลีกไทย! “เซ็นทรัล” ผนึก “JD.com” เกือบ 2 หมื่นล้าน
1. ในหลายสิบปีที่ผ่านมา อุต.นี้มุ่งแย่งชิงความได้เปรียบเชิงพื้นที่(terrtorial coverage)กันเป็นหลัก โดยยึดหลัก law of retail gravitation ที่ระบุว่า "ผู้บริโภคจะยินดีเดินทางมาไกลกว่า เพื่อมาจับจ่ายซื้อสินค้าในห้างที่ใหญ่กว่า ก็เพราะมันน่าสนใจต่อผู้บริโภคมากกว่า"..และยึดหลัก catchment acreage ในการเลือกทำเลที่ตั้งของห้างสรรพสินค้า โดยพิจารณาจากรายได้ อาชีพและโครงสร้างประชากร เพื่อประเมินแนวโน้มที่ทำเลนั้น(แม้จะต้องพิจารณาประเภทสินค้าที่นำเสนอด้วย) จะสามารถดึงดูดให้ผู้บริโภคมาช๊อปปิ้ง..กลุ่มเซ็นทรัลมีบทบาทที่ชัดเจนมากในเรื่องการสร้างห้างฯในทุกพื้นที่...
2. หลักคิดพื้นฐานในการเลือกทำเลใหม่ๆคือ ถ้ามีสายป่าน(ทนขาดทุน)ได้ยาวพอ..ในไม่ช้า ผู้บริโภคในพื้นที่จะหันมาใช้บริการเพราะความใกล้บบ้าน (catchment) และไม่ต้องการจะฝ่าจราจรเพื่อเดินทางไปช๊อปห้างที่ใหญ่กว่าแต่ก็อยู่ไกลกว่า(retail gravitation)...ปริมาณการเข้าห้างและการจับจ่ายจะเพิ่มขึ้นเอง..
3. ในแต่ละห้างแต่ละทำเลจะลงทุนมากในการออกแบบและการจัดแสดงสินค้า (product display) ตลอดจนการบริหารสินค้า (merchandising)เพื่อดูแลสินค้าของตนเองและสินค้าจากซัพพลายเออร์.. และอื่นๆ..อีกหลายด้าน... การลงทุนเปิดห้างในแต่ละทำเล จึงต้องลงทุนมากมหาศาล(ด้วยการกู้ยืมเพื่อซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคาร)..ที่จะต้องทำให้คุ้มทุนได้..ก็ด้วยปริมาณการช๊อป (traffic volume) และมาร์จิ้นที่สูงพอ...
4. แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ถูกปรนเปรอความต้องการสินค้าและบริการถึงเตียงนอนทางออนไลน์..ทำให้มนต์ขลังของความใหญ่โตสวยงามของห้างฯตลอดจนชื่อเสียงของห้างฯเองหมดความสำคัญไปอย่างไม่น่าเชื่อ...แทนที่จะใช้ห้างฯดึงดูดให้ผู้บริโภคพุ่งเข้าหา..สินค้าออนไลน์กลับพุ่งเข้าหาผู้บริโภคเอง..หรือ retail gravitation in reverse นั่นเอง
5. การปรับตัวของห้างฯเข้าหาธุรกิจออนไลน์ คงจะไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถกลับหลังหันโดยไม่มีต้นทุนหรือความสูญเสีย.. อย่างน้อยมาร์จิ้นของสินค้าที่ขาย จะตกลงมากเพราะมีการแข่งขันทางออนไลน์กันอย่างเข้มข้น.. การบริหารคลังสินค้าและการส่งสินค้าถึงมือลูกค้า (ต้นทุนเพิ่ม)ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง..ตัวห้างฯและการจัดแสดงสินค้าในห้างจะกลายเป็นต้นทุนที่ฟุ่มเฟือยเกินไป...กำไรโดยรวมจึงน่าจะลดลง..
6. ดังนั้น เราอาจจะได้เห็นการปิดตัวของห้างฯขนาดใหญ่ในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า..พร้อมๆกับความล้มหายตายจากของผู้ค้ารายย่อยนอกห้างฯในศูนย์การค้าใหญ่ๆที่เคยพึ่งพาแรงดึงดูดของชื่อเสียงของห้างที่เคยเป็นแม่เหล็ก...
7. ผลกระทบละลอกถัดไปก็น่าจะเกิดกับตลาดอสังหาฯ.. ที่จะไม่สามารถขายบ้านที่อยู่อาศัยโดยพึ่งพาความใกล้เคียงห้างฯได้อีกต่อไป..ราคาอสังหาฯที่อยู่ใกล้ห้างที่เคยปรับตัวขึ้นมาสูงลิ่ว ก็จะกลับไปสู่ระดับราคาปรกติตามคุณภาพ..
8. พนักงานในห้างฯจำนวนมาก คงต้องหางานใหม่.. สถาบันการเงินที่เคยให้กู้ทางด้านอสังหาฯกับการเติบโตของพื้นที่แบบ development-led แต่มิใช่ organic growth.. ย่อมจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน...
เขย่าค้าปลีกไทย! “เซ็นทรัล” ผนึก “JD.com” เกือบ 2 หมื่นล้าน (SpringNews วันพฤหัส 2 พฤศจิกายน 2017 1:54 pm)
http://www.springnews.co.th/th/2017/11/132628/
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกของไทยกับจีน ประกาศร่วมทุนมูลค่า 17,500 ล้านบาท พลิกโฉมธุรกิจออนไลน์ ช็อปปิ้งในไทย พร้อมจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในไทยเป็นศูนย์กลางด้วยดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วันที่ 2 พ.ย.60–นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ผู้นำธุรกิจชั้นนำด้านค้าปลีกของไทย และ นายริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจดีดอทคอม จำกัด ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในจีนและเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซอันดับ 3 ของโลก แถลงแผนการร่วมทุนธุรกิจโดยจัดตั้ง บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด เงินลงทุนรวม 17,500 ล้านบาทฝ่ายละครึ่งหนึ่ง มุ่งพัฒนาดิจิทัลอีโคซิสเต็มครบวงจรครั้งแรก พลิกโฉมช็อปปิ้งออนไลน์ในประเทศศไทย ด้วยแพลตฟอร์มใหม่ชื่อ WWW. JD.CO.TH ภายใต้เครื่องหมายการค้า เจดี เซ็นทรัล ที่จะเปิดให้บริการในปีหน้า
ความร่วมมือนี้เป็นยุทธศาสตร์ดิจิทัลเซ็นทราลิตี้ของกลุ่มเซ็นทรัลที่จะพัฒนาให้เป็น “ออมนิแชแนล” (Omni Channel) หรือ การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทางงออน์ไลน์ (Online) และการขายหน้าร้าน (Offline) โดยเชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวแบบไร้รอยต่อ
คาดว่าภายใน 5 ปียอดขายในธุรกิจออนไลน์จะโตแบบก้าวกระโดมากกว่า 15% ความร่วมมืนี้ยังช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าเอสเอ็มอีของไทยจากปัจจุบันที่จีนซื้อจากไทยกว่า 1 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังช่วยพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยจะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์กลางด้วยดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้านนายริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจดีดอทคอม ระบุว่าประเทศไทยมีโครงส้างพื้นฐานทันสมัย และการให้บริการอินเตอร์เน็ตครอบคลุมเอื้อต่อารพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซและฟินเทค ความร่วมมือนี้จะเกิดประโยชน์กับผู้บริโภค ธุรกจิเอสเอ็มอี และเพิ่มการส่งออก
ทั้งนี้ เงินลงทุน 17,500 ล้านบาท ครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่ อี-คอมเมิร์ซ อี-โลจิสติกส์ อี-ไฟแนนซ์ อี-มาร์เก็ตติ้ง และอี-เทคโนโลยี ซึ่งทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น หุ่นยนต์ การบริหารข้อมูลบิ๊กดาต้า และ การขนส่งสินค้าด้วยโดรน..
13 ก.พ. 2561
13 ก.พ. 2561
12 มี.ค. 2561
13 ก.พ. 2561