Bitcoin คืออะไร? Blockchain คืออะไร?

Last updated: 29 ม.ค. 2561  |  2454 จำนวนผู้เข้าชม  | 

1.ปัจจุบันโลกของเรา เวลาจะโอนเงินไปไหนมาไหน ถอน/ฝาก/โอน/จ่าย จะต้องผ่านตัวกลางคือ ธนาคาร เพราะธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่จะรับรองกับเราได้ว่า มีการโอนจริง ฝากจริง ถอนจริง แล้วเราก็เชื่อตามนั้นเพราะธนาคารจะออกคำรับรอง(ก็คือสลิปหรือ statement นั่นเอง) โดยธนาคารก็เก็บค่าบริการแล้วแต่ความกรุณาของธนาคารนั้นๆว่าจะแพงมากน้อยแค่ไหน 555

2.จนในปี 2008 เกิดวิกฤต ที่อเมริกา ค่าเงิน USD ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ อยู่ดีๆพี่กันแกเลยแก้ปัญหาด้วยการบอกว่าจะ พิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อทุกคนจะได้มีเงินไปใช้หนี้หรือจับจ่ายกันต่อไปนะ 555 โดยไม่ต้องมีทองมารับประกันด้วยนะ ปั๊มกันมาลอยๆเลย

3.พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ประเทศอื่นก็เลยบอกว่า เออโอเค ทำได้กูก็ทำได้ ยุโรปเลยบอกโอเค กูพิมพ์มั่ง กูก็มีหนี้เยอะเหมือนกัน 5555

4.จึงมีคนคิดว่า เห้ย งั้นกูจะสามารถเชื่อถืออะไรกับระบบการเงินที่ควบคุมโดยรัฐบาลได้อีกหรอวะ นึกอยากจะเสกเงินก็เสกขึ้นมาลอยๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาแบงค์กาโม่มาบอกว่านี่คือเงินจริงนะเอามาใช้หนี้ หนี้ของเราหายกัลลลลลล (แต่ที่ยิ้มทำได้คือเพราะทุกคนเชื่อถือเงิน USD ที่มันพิมพ์มาใหม่ไงว่ามีค่า พิมพ์มาเท่าไหร่ใครๆก็อยากได้)

5.ท้ายสุดจึงมีคนที่ใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto บอกว่า เชี่ยกูไม่ไหวล่ะ จะใช้จ่ายเงินสดโอนข้ามประเทศอะไรกุก็โดนค่าธรรมเนียมแพงๆแบบไม่มีเหตุผล จะออมเงินไว้เฉยๆฝากกินดอกเบี้ยใช้ตอนแก่ๆ กูก็ไม่มั่นใจล่ะ เพราะอยู่ๆก็พิมพ์เงินออกมาใหม่จนเกิดเงินเฟ้อลดค่าเงินที่กูออมไปหมดสิ้น งั้นนี่เลย กูขอเปิดการ์ดที่หมอบไว้

เทคโนโลยี Blockchain และ เงิน Bitcoin !!!

6.พูดง่ายๆขึ้นอีกคือ คุณซาโตชิกำหนดเงิน Bitcoin ขึ้นมาบนโลก Internet และ แทนที่จะให้ธนาคารเป็นคนโอน แกใช้เทคโนโลยี Blockchain เป็นระบบในการโอนเงินนี้ต่อกัน

7.ทีนี้มาเข้าใจกันก่อนว่าเทคโนโลยี Blockchain นี่คืออะไรทำไมแกถึงเอามันมาใช้ จำได้มั้ยว่าปกติเราจะโอนเงิน มีแค่ธนาคารอย่างเดียวที่สามารถมีเอกสารในมือ ที่รู้ได้ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ พอโอนมั้ย แล้วเราโอนเสร็จก็ไปบอกบัญชีปลายทางว่าเออ อีกฝั่งมีเงินพอ แล้วก็โอนมาให้ปลายทางแล้วนะ แล้วธนาคารก็คิดค่าธรรมเนียม จบดีล

8.แต่เทคโนโลยี Blockchain นี้เปิดให้ทุกคนมีเอกสารข้อมูลบัญชีที่ว่านั่นทั้งหมดแบบ Public พูดง่ายๆว่าเราสามารถรู้และตรวจสอบได้หมดเลยว่าบัญชีไหน มีเงินเท่าไหร่ ใครโอนให้ใคร รับต่อกันยังไง

9.แล้วเราจะยืนยันการโอนเงินยังไง แล้วจะเชื่อถือได้ยังไง?

นั่นแหละคือความเจ๋งของเทคโนโลยีนี้

โดยเทคโนโลยีนี้ จะสร้างข้อมูลเรียงกันเป็นบล็อคๆ ซึ่งก็จะเรียงตั้งแต่การโอนครั้งแรกมาจนถึงการโอนในปัจจุบัน สมมติว่านาย A จะโอนเงินให้ นาย B 1บาท ระบบก็จะประกาศว่า โอเคนาย A จะโอนไปให้นาย B 1 บาทนะ ทุกคนก็จะเช็คข้อมูลว่าบัญชีนาย A มีเงินมากกว่า 1 บาทเพื่อที่จะโอนอยู่รึเปล่า ถ้ามากกว่า ทุกคนก็จะประกาศว่าโอเครับรู้แล้วนะให้การโอนนี้เกิดขึ้นได้ พอเกิดขึ้นก็จะเอาข้อมูลพวกนี้ ใส่ลงใน Block ต่อๆกันไปแล้วพอทุกคนยืนยันว่าการโอนนี้ลงข้อมูลใส่ใน Block เรียบร้อย การโอนนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น

จะเห็นได้ว่า นาย A ไม่มีทางโกงที่จะไม่โอนหรือเงินไม่พอจะโอนได้เลย เพราะทุกๆคนถือข้อมูลเป็นสาธารณะอยู่เราสามารถเชคได้ตั้งแต่แรกว่านาย Aมีเงินอยู่เท่าไหร่ และถ้าเงินไม่พอทุกคนก็จะบอกว่า เงินนาย A มีไม่พอ การโอนก็ไม่เกิดขึ้นอยู่ดี และจะไม่ถูกบันทึกลงใน Blockของข้อมูล

10.พูดง่ายๆว่า Blockchain คือเทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นบล็อกเรียงต่อกันเป็นสาย แต่ละบล็อกก็จะมีชุดข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงไปยังบล็อกก่อนหน้าได้ ดังนั้นก็เลยเรียกว่า Blockchain ง่ายๆแค่นั้นเอง

11.Blockchain ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะแต่กับระบบทางการเงินเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์กับระบบอื่นๆ ได้อีกด้วย ลองคิดดูว่าอะไรก็ตามที่เคยต้องรวมศูนย์และทำผ่านตัวกลางเพียงตัวเดียวเท่านั้น Blockchain สามารถทดแทนและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าได้ทั้งหมด

นึกภาพเราทำประกัน มีเอกสารเยอะแยะ เราสามารถจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ลง Blockchain แทนการใช้เอกสาร ถึงเวลาเราจะเคลม ไม่ต้องมัวไปขอเอกสารหรือหาเลขกรมกรรม์อะไรเลย เพราะระบบมีข้อมูลอยู่ในตัวอยู่แล้ว หรือไม่ก็ อาจจะใช้ในการติดตามสินค้าต่างๆ เช่น การติดตามเส้นทางขนส่งของอาหารสดแต่ละชิ้น ก็จะทำให้รู้ได้ทันทีว่าวัตถุดิบรายการไหนถูกส่งออกมาจากฟาร์มแห่งใด, ขายไปยังลูกค้ารายใด, หมดอายุวันไหน รวมถึงหากเกิดปัญหากับสินค้าชิ้นนั้นๆ ก็สามารถสืบไปถึงต้นตอได้ทันที ว่าเกิดจากตรงไหน

แถมทุกๆ ข้อมูลที่มีการบันทึกลงไปใน Blockchain นั้นจะไม่สามารถถูกลบออกไปได้ (เพราะทุกคนมีข้อมูลนี้อยู่ในมือกันหมด ถ้าจะลบก็ต้องไปลบทุกคนซึ่งเป็นไปไม่ได้) และสามารถติดตามลำดับการบันทึกข้อมูลย้อนหลังทั้งหมดได้อย่างโคตรง่ายและโปร่งใส

12.จากเท่าที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ได้เราก็คงพอเข้าใจแล้วว่า Blockchain คือเทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูล โดยการให้ทุกคนถือเอกสารชุดเดียวกัน เมื่อมีการอัปเดตก็จะอัปเดตด้วยกัน ซึ่งการมาของเทคโนโลยีนี้สามารถกำจัดตัวกลางในการโอนอย่างธนาคารไปได้อย่างหมดจด เพราะเราจะโอนเงินให้ใครไม่จำเป็นต้องมีค่าธรรมเนียมในการโอน ไม่ต้องให้ธนาคารมาช่วยยืนยันความสำเร็จของการโอน เพราะทุกๆคนในระบบมาช่วยยืนยันความถูกต้องของข้อมูล แถมยิ้มน่าเชื่อถือว่าธนาคารอีก เพราะโกงไม่ได้เลย

13.กลับมาที่เรื่อง Bitcoin ไปไกลมาก 555555

สรุป Bitcoin คือสกุลเงินในรูปแบบของดิจิทัล ถูกสร้างขึ้นมาด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ Bitcoin ไม่มีรูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้เหมือนธนบัตรหรือเหรียญเงินบาท โดยคุณซาโตชิ ได้เขียน Codeในการยืนยันธุรกรรมของ Bitcoin ขึ้นมาเป็น Algorithm ของคณิตศาสตร์ และแจกฟรีแก่ทุกคนทั่วโลกให้เอาไปใช้ แล้วก็ใช้ Blockchain ในการเป็นระบบการโอนเงินต่อกัน

14.การเปิดบัญชี Bitcoin นั้นทำง่ายมากๆ ใช้แค่ E-Mail คุณก็สามารถมีบัญชี Bitcoinได้ จะกี่บัญชีก็ได้ จะเป็นแสนเป็นล้านบัญชี ก็สามารถทำได้ถ้าคุณมีเวลาว่างมากพอ เพราะเลขบัญชี Bitcoin จะเป็นตัวเลขและตัวอักษรติดกัน 34 ตัวอักษร(ความเป็นไปได้ของเลขบัญชี Bitcoin คือ 2 ยกกำลัง 256) ถ้าถามว่ามากแค่ไหนก็น่าจะมากกว่า ดวงดาวทั้งหมดในเอกภพนี้

15.โดยการเปิด บัญชี Bitcoin เราจะได้ Key มา 2 Key

คือ Public Key และ Primary Key โดยการใช้ปกติเราสามารถแจก Public Key ให้ทุกๆคนโอนเงินเข้ามาที่หมายเลข Public Key ของเราได้(และทุกคนสามารถเชคเงินเราได้จาก เลข Public Key) เพียงแต่ว่าการโอนออกไปที่ไหนสักแห่ง จำเป็นต้องใช้ Primary Key ในการโอนเท่านั้น ถ้าทำ Primary Key หายไป เท่ากับว่าเราไม่สามารถโอนไปไหนได้อีกเลย

16.โดยในระยะเริ่มแรกหลายๆประเทศยังไม่ตอบรับและไม่มีกฏหมายรองรับเงินสกุลนี้ เนื่องจากไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าขอองบัญชีได้เลย และก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเงินไว้ในบัญชีเดียวอีกด้วย ทำให้เหมาะเหลือเกินที่จะเป็นแหล่งฟอกเงิน และการทำธุรกรรมที่ผิดกฏหมาย แต่คิดในอีกแง่ก็คือ ไม่มีใครสามารถควบคุมได้เลย ไม่มีเจ้าของระบบอย่างแท้จริง เพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของระบบ แต่ในช่วงระยะหลังเริ่มมีประเทศหลายๆประเทศออกมายอมรับเงินสกุลนี้กันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เต็มตัวอยู่ดี

17.คำถามต่อมาคือ แล้วเราจะหาเงิน Bitcoin จากไหนล่ะ ? วิธีหนึ่งที่ได้มานอกจากการเอาเงินจริงไปซื้อก็คือ การทำเหมือง Bitcoin โดยระบบของ Bitcoin นี้จะให้ทุกคนช่วยกันยืนยันธุรกรรมผ่าน Blockchain ซึ่งถ้าใครยืนยัน Block การโอนที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดจะได้รับรางวัล 50 BTC ต่อ1 Block ซึ่งรางวัลนี้จะลดลงครึ่งนึงๆทุกๆ 210,000 Block

18.ซึงการที่ได้ยินข่าวว่า เค้าทำเหมืองขุด Bitcoin ที่ว่านั่นก็คือการแข่งกัน ประมวลผลข้อมูลให้ได้ 1 Block ซึ่ง 1 Block ที่เกิดขึ้น คุณซาโตชิคิด Algorithm ที่ว่านี้ขึ้นมาโดยให้มันถูกแก้ออกได้ภายใน 10นาที ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ช่วยกันแก้สมการนี้ Algorithm ก็จะเพิ่มความยากของสมการที่จะถูกแก้ไปด้วย จะใช้คนมากแค่ไหน ก็จะใช้เวลาคำนวน1 Block นี้ราวๆ 10นาทีอยู่ดี

19.พูดง่ายๆ การขุด Bitcoin คือการช่วยระบบประมวลผลของธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยปกติถ้าเป็นธนาคารก็จะต้องมี server เพื่อรันข้อมูลและประมวลผล แต่ Bitcoin ไม่มีธนาคารเป็นตัวกลาง จึงให้ทุกคนช่วยกันประมวลผล ใครเครื่องแรง ช่วยระบบได้มาก ก็ควรจะได้รางวัลตอบแทน นั่นคือ Concept ของการทำเหมือง Bitcoin นั่นเอง

20.เพราะแบบนั้นการขุด Bitcoin ในปัจจุบันแทบจะไม่มีรายใหม่เข้ามาลงทุนแข่งกันประมวลผลแล้ว เนื่องจากยิ่งคนมากขึ้น ก็ต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นและเงินลงทุนมากขึ้น (และแน่นอนมูลค่าของมันก็เลยมีมากขึ้นตามต้นทุน และ Demand)

21.จากการคำนวนข้อมูลรางวัลตรงนี้ Bitcoin ของทั้งโลกจึงมีได้เพียงแค่ 21,000,000 BTC เท่านั้น และต้องใช้เวลาอีกราวๆ 123 ปีข้างหน้า หรือหลังจากปี ค.ศ. 2140 Bitcoin ที่ว่าถึงจะถูกค้บพบเพื่อมาใช้งานได้ครบ 21ล้าน BTC จากนั้นก็จะหา Bitcoin เพิ่มไม่ได้อีกเลย

22.โดย Bitcoin สามารถแตกออกเป็นหน่วยย่อยที่สุดได้ถึงจุดทศนิยม 8 ตำแหน่ง(ร้อยล้านส่วน) ซึ่งก็คือ 0.00000001 ตรงนี้เราจะเรียกว่า 1ซาโตชิเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณซาโตชิ (ที่ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าเค้าคือใครกันแน่) ที่คิด Bitcoin ขึ้นมาได้ ซึ่งถ้า Bitcoin หาไม่ได้อีกแล้วการแยก 1 BTC ได้ถึงร้อยล้านส่วน คงจะทำให้ Bitcoin ใช้ไปได้อีกนานเท่านาน

23.โดยปัจจุบันที่เขียนบทความอยู่นี่ราคา 1 BTC ราวๆ 90,000 บาทไทย ถ้าขุดสำเร็จได้รับรางวัลในการขุดตอนนี้อยู่รุ่นที่ 3 (ผ่านมาแล้ว 210,000+210,000+210,000 Block)

คือ 12.5 BTC(ซึ่งก็คือ 50 หาร 2 มา 2ครั้ง) ก็จะมีมูลค่ารางวัลราวๆ 1,150,000 บาทในการขุด Bitcoin แค่ 10 นาทีเท่านั้น ! (ถ้าคำนวนได้เป็นเครื่องแรกของโลกอะนะ)

24.ปัจจุบัน BTC มีมูลค่าที่ซื้อขายกันจริงทั้งโลกราวๆ 34,000 ล้านเหรียญ หรือราวๆ 1.2 ล้านล้านบาท (พอๆกับหนี้ของประเทศสารขันเลย คิคิ)และมี BTC ที่ถูกขุดเจอไปแล้วทั้งหมดราวๆ 16,500,000 BTC หรือราวๆ 78% จาก 21,000,000 BTC บนโลกปัจจุบัน

25.สรุปจุดดีของ Bitcoin คือ

-ไม่มีการพิมพ์ใหม่หรือสร้างขึ้นใหม่ได้ ไม่ต้องกังวลว่านโยบายทางการเงินของประเทศอะไรเป็นยังไง ต่อให้ทุกประเทศในโลกบริหารการเงินผิดพลาด เงินเฟ้อไปทุกสกุล Bitcoin ก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่เฟ้อตาม

-เป็นการทำธุรกรรมที่ เร็ว และ ถูก

-ไม่สามารถเรียกคืนได้ (บัตรเครดิตยังเรียกเงินคืนได้ หรือระงับธุรกรรม)

-ไม่มีเอกสารให้ยุ่งยาก ไม่มีอะไรตามถึงเจ้าของได้

-เชื่อถือได้ และไม่มีทางจะโกงระบบได้

26.สรุปจุดเสียของ Bitcoin

-ไม่มีใครรองรับว่าจะสามารถมาชำระหนี้ได้ (แต่สามารถแลกเป็นเงินสกุลท้องถิ่นได้)

-อาจจะเกิดภาวะเงินฝืดถ้าถึงวันที่หา Bitcoin ไม่ได้แล้ว

-ไม่สามารถใช้ได้เป็นวงกว้างในปัจจุบัน

หวังว่าคงพอช่วยให้เข้าใจกันขึ้นได้บ้าง

ผิดพลาดตรงไหนขออภัยเขียนจากความเข้าใจจากตัวผมเองล้วนๆ 555

อธิบาย บิทคอย ให้เข้าใจง่ายที่สุด ส่วนการเก็งกำไรในตลาดรองก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องแยกจากการได้บิทคอยมาครั้งแรก

อธิบายง่ายๆว่า bitcoin มันมีค่าของมันจากการประหยัดค่าโอนเงินข้ามประเทศ และค่าตรวจสอบว่ามีการโอนเงินกันแล้วจริง ค่าโอนเงินผ่าน bitcoin ถูกมาก เมื่อเทียบกับการโอนเงินข้ามประเทศผ่านระบบธนาคาร ยกตัวอย่าง เพื่อนของเราโอนเงินให้ผม 5,000 บาทผ่านระบบธนาคาร สรุปต้องเสียค่าโอนและรับโอนรวม 1,200 บาท แพงมาก แต่ถ้าผ่าน บิทคอย .0000 บาทเอง

ถ้าต่อไม่เข้าใจก็ข่างมันนะ เอาว่าต่อไป บิทคอยจะเป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ขณะนี้มีสถาบันหลายประเทศให้คำรับรองให้มีฐานะเทียบเท่าทองคำแล้ว

Cr : นิพนธ์ สุวรรณประสิทธิ์

Powered by MakeWebEasy.com