Last updated: 17 เม.ย 2560 | 706 จำนวนผู้เข้าชม |
25-01-60/08 : Richard Whitt / มีผู้นำที่สิ้นคิด 。。ประเทศก็มีสิทธิสิ้นหวัง The biggest stories from Davos 2017
✤ ในระหว่างวันที่ 17 – 20 มกราคม ค.ศ. 2017 มีการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอสประเทศสวิสเซอร์แลนด์ การประชุมครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญมากด้วยเหตุผล 2 ประการ
1. การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่คุยกันถึงอนาคตการเปลี่ยนแปลงของโลกภายใต้ชื่อ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (The 4th Industrial Revolution) ซึ่งเป็นหัวข้อการประชุมที่ฮือฮาไปทั่วโลก เพราะการประชุมได้ชี้ให้เห็นถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบกับสังคมรวมทั้งการเมืองทั่วโลก
✤ การประชุมที่ดาวอสครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมต่อเนื่องโดยมีหัวข้อการประชุมคือ *ผู้นำที่ตอบสนองและรับผิดชอบ* (Responsive and Responsible Leaders) กล่าวคือ เป็นการปรึกษาหารือถึงบทบาทผู้นำทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในการดำเนินยุทธศาสตร์ในการรองรับการเปลี่ยนแปลงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
2. สังคมโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยมีมาก่อนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สังคมโลกกำลังอยู่ในจุดของแรงกระเพื่อมอันเกิดจากการขยายตัวของการต่อต้านที่มีต่อโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรี กระแสต่อต้านเหล่านี้คือ การขยายตัวของกลุ่มที่เรียกว่า *อุดมการณ์ประชานิยม* (Populism)
✤ ภาพฉายของขบวนการดังกล่าวคือ การขยายตัวของพรรค การเมืองที่มีอุดมการณ์ขวาจัดซ้ายจัดในยุโรป และการชนะการเลือกตั้งของนาย Donald Trump ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังขยายมาสู่เอเชียโดยเฉพาะชัยชนะและพฤติกรรมของนาย Rodrigo Duterte ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์
✤ ในการประชุมที่ดาวอสครั้งนี้ จะเป็นการปรึกษาหารือในเรื่องของยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงที่จะตอบสนองต่อโลกยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 แนวคิดเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มาจากแนวคิดของนาย Klaus Martin Schwab ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum
✤ นาย Klaus Schwab ได้แบ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็น 4 ยุค ดังนี้
● ยุคที่ 1 คือยุค 1.0 เมื่อเกิดการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ 200 ปีที่ผ่านมา
● ยุคที่ 2 คือยุค 2.0 เมื่อมีการประดิษฐ์ไฟฟ้าเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา
● ยุคที่ 3 คือยุค 3.0 เมื่อมีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์เมื่อทศวรรษ 1960
● ยุคที่ 4 คือ ยุค 4.0 ซึ่งกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตคือการบรรจบกัน (Convergence) ของ 3 ระบบ ได้แก่ ระบบดิจิทัลซึ่งในปัจจุบันเรียกว่ายุค 3.5 กับระบบฟิสิกส์ และระบบเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการบรรจบกันของ 3 ระบบดังกล่าวทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ที่กระทบกับวิถีชีวิตของคนบนโลกอย่างถอนรากถอนโคน เช่น
● Artificial Intelligence
● Autonomous Vehicles
● Bitcoin
● Blockchain
● Energy Storage
● Internet of Things (IOT)
● Material Science
● Robotics
● Sintech
● 3D Printing
✤ การขยายตัวของสิ่งประดิษฐ์และปรากฏการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ด้านดีคือ มนุษย์จะอยู่อย่างสบายมากขึ้น อายุจะยืนยาวขึ้น การผสมผสานระหว่าง 3D Printing กับ Biotech จะทำให้วงการแพทย์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย เนื่องจากสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ได้ล่วงหน้า และใช้สิ่งประดิษฐ์เทียมทดแทนอวัยวะของมนุษย์ได้
✤ ในด้านลบ คนจะมีการตกงานขนานใหญ่ Robot จะเข้ามาแทนที่ คนใช้ พนักงาน รถที่ไม่มีคนขับจะทำให้คนขับแท็กซี่ตกงาน Blockchain และ Bitcoin ด้านหนึ่งจะทำให้คน 7,300 ล้านคนในปัจจุบันสามารถเข้าสู่ตลาดการเงินได้อย่างรวดเร็ว ต้นทุนถูก โดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า Crowd Funding แต่อีกด้านหนึ่งก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงิน คนจะตกงานเป็นแถว บุคลากรต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบคิด (Mindset) อย่างรุนแรงในอนาคต โรงงานไฟฟ้า ปั๊มน้ำมัน จะอันตรธานหายไป เนื่องจากจะมีการเก็บสะสมพลังแสดงแดด และแจกจ่ายทั่วไปผ่านระบบ Information Technology
✤ ในบริบทดังกล่าว ประเทศต่าง ๆ ที่พึ่งพาน้ำมันเป็นรายได้หลักก็ต้องเจอสภาพวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อนและย่อมส่งผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ของสังคมโลก
✤ การประชุมครั้งนี้จึงตั้งประเด็นประชุมไว้ 14 ประเด็นที่จะให้ผู้นำทางการเมือง นักธุรกิจ NGO สื่อมวลชน มาถกแถลงระดมความคิดร่วมกันว่าจะดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของการปฏิรูปอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 อย่างไร หัวข้อทางยุทธศาสตร์ที่มี 14 หัวข้อ ประกอบด้วย อนาคตของตลาดการเงิน อนาคตของการบริโภค อนาคตของพลังงาน อนาคตของความเท่าเทียมของสังคม อนาคตของการค้าการลงทุน และอื่น ๆ
✤ ในการประชุมครั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจมากคือ ประธานาธิบดี Xi Jinping ได้เข้าร่วมการประชุมและนับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำระดับสูงสุดของจีนได้เข้าร่วม นาย Xi Jinping ได้เสนอความเห็นในทำนองว่า โลกาภิวัตน์ซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกจะต้องพัฒนาต่อไป แม้ทุกวันนี้จะมีภัยคุกคามจากกระแสต่อต้าน ความอยู่รอดของสังคมโลกจึงมิใช่การย้อนกลับไปสู่การกีดกันทางการค้า การใช้นโยบายชาตินิยม การมุ่งโจมตีประเทศอื่น หรือที่เรียกนโยบายนี้ว่า Beggar-Thy-Neighbor
✤ นอกจากนั้นนาย Xi Jinping ยังแสดงถึงเจตจำนงและบทบาทของจีนว่า จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนกระแสหลักของโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีต่อไป
✤ สุนทรพจน์ของนาย Xi Jinping มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ 2 ประการ
1. เป็นการโจมตีนโยบายของนาย Donald Trump ที่มุ่งการกีดกันทางการค้าและยังมีท่าทีข่มขู่ประเทศอื่น ๆ นอกจากนั้น ท่าทีของนาย Xi Jinping ยังเป็นการต่อต้านกระแสชาตินิยมที่ต่อต้านการรวมกลุ่มการเปิดเสรีในด้านสินค้า บริการ เงินทุน และแรงงานซึ่งนอกจากเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดของนาย Donald Trump แล้วยังเป็นอุดมการณ์ของพรรคขวาจัดซ้ายจัดที่กำลังได้คะแนนนิยมในสหภาพยุโรปและเอเชีย
2. นาย Xi Jinping กำลังประกาศศักดาในการขยายบทบาทของจีนในการเป็นอภิมหาอำนาจโลกและจะทำหน้าที่เป็นผู้นำในด้านโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีแทนที่บทบาทของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนาย Donald Trump
✤ โดยสรุป อาจกล่าวได้ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นภาพฉายของการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชาสังคมที่มีผลกระทบต่อสังคมโลก เป็นภาพฉายของบทบาทของผู้นำที่ต้องมีการเตรียมยุทธศาสตร์ และสุดท้ายคือ เป็นภาพฉายของการขยายบทบาทของจีนในบริบทที่สหรัฐอเมริกากำลังถดถอยลง
Credit : WWW.WEFORUM.ORG
13 ก.พ. 2561
13 มี.ค. 2561
13 มี.ค. 2561
13 ก.พ. 2561