Last updated: 27 ก.ย. 2559 | 1839 จำนวนผู้เข้าชม |
อย่างที่เคยสัญญาไว้นานแล้วว่า ผมจะเขียนเรื่องของ "Dracula” เพราะในช่วงพอดีตอนที่ไปเมืองบูดาเปสต์นั้น ได้มีโอกาสเดินผ่านคุกที่ใช้กักขัง "เจ้าชายแห่งรัตติกาล” และให้พอดี เมื่อวันก่อน HBO เอาหนังเรื่อง "Dracula Untold" เข้ามาฉายพอดี ซึ่งในเนื้อเรื่องตอนต้นมีอิงประวัติศาสตร์อยู่หน่อยนึง พูดถึงต้นกำเนิดของ "เจ้าชาย วลาด" หรือ "แดร๊กคิวล่า" ที่ถือว่าเป็นต้นตระกูล แวมไพร์คนแรกของโลก เพียงแต่เกร็ดประวัติศาสตร์ในหนังนั้น มันถูกบิดเบือนไปตามแบบหนัง Hollywood แนวแอ๊คชั่นทะลุจอ หนังสนุกนะครับ CG (Computer Graphics) ทำได้ดี ดูมันส์ มาก ครับ
ที่จริงแล้ว "Dracula" นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นโดย "Bram Stoker" ซึ่งเป็นผู้จัดการ โรงละครชื่อ Lyceum ในประเทศอังกฤษ สมัย วิคตอเรียน โดยแกแต่งนิยายเป็นอาชีพเสริม และเรื่องที่ดังที่สุด ก็คือ "Dracula" นั่นเอง แต่เชื่อไหมครับว่า ตลอดชีวิตของแกนี่ ไม่เคยแม้แต่ย่างกรายไปยัง แคว้นทรานซิลเวเนีย หรือ แม้กระทั่งประเทศโรมาเนีย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ "Dracula" เลยครับ
เชื่อกันว่า เค้าโครงของเรื่อง "Dracula" นี่แกแค่ค้นเอาจากหนังสือท่องเที่ยว และ นิยายตำนานปรัมปราเท่านั้น แถมตัวแกยังเล่าต่อไลว่า ไอเดียของเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะ มีวันนึงแกเกิดทานข้าวเย็นมากไปนิด เลยฝันตะเลิดเป็นเรื่องราว ของ Vampire King ที่ลุกขึ้นมาจากโลงศพในเวลากลางคืน แล้วเที่ยวไล่ล่าหาสาวๆมาดูดเลือดทานเล่น ครับ "Bram Stoker" ค้นไปค้นมาเลยไปจับเอามาเรื่องราวของ "วีรบุรุษแห่งแคว้นวัลลาเฮีย" เจ้าชาย "วลาด แดรคูล" (Vlade Dracul) ที่มีนิสัยโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ มาเป็นต้นแบบของ "แดร๊กคิวล่า" ครับ
และ คำว่า "Dracul" หรือ "Dracula" จริงๆ ก็ไม่ได้แปลว่า "จอมกระหายเลือด" นะครับ คำนี้แปลตรงๆได้ว่า "Order of Dragon" หรือแปลว่า "สายพันธ์แห่งมังกร" เพราะในปีที่ "เจ้าชายวลาด” เกิดนั้น พ่อของเขาได้ร่วมก่อตั้งเป็นรุ่นแรกของ "อัศวินแห่งมังกร" (Knight of Dragon's Order) โดยอัศวินจากแคว้นต่างๆ มาสาบานร่วมกันว่าจะปกป้องศาสนาคริสต์ ให้พ้นจากภัยของแขกมุสลิม แห่งอาณาจักรออตโตมาน ที่กำลังแผ่ขยายอาณาจักรขึ้นมาทางเหนือเข้าสู่ยุโรป และ "สายพันธุ์แห่งมังกร" (Order of the Dragon) และได้การรับรองจาก "จักรพรรดิซิกิสมุนด์ แห่งนูเรมเบิร์ก” ให้อนุญาตใช้เป็นตำแหน่งที่สืบทอดต่อให้กับลูกหลานได้ ครับ
นอกจากนั้น "Bram Stoker" อาจจะเข้าใจผิด หรือ จงใจ ก็ไม่รู้ เพราะ "เจ้าชายวลาด" ที่เป็นต้นเรื่องของ "แดร๊กคิวล่า" นั้น ปกครอง แคว้น Wallachia (วัลลาเฮีย) ไม่ใช่แคว้นทรานซิลวาเนีย อย่างในนิยายนะครับ เพียงแต่ทั้งสองแคว้นอยู่ใกล้ๆกัน เป็นเขตกันชนระหว่างสองอาณาจักรใหญ่ คือ "ออตโตมาน" ของพวกแขกเติร์ค(ตุรกี) และ "ฮัพส์เบิร์ก" ของออสเตรีย จึงทำให้มณฑลของ "เจ้าชายวลาด" อยู่ท่ามกลางไฟสงครามมาโดยตลอด
(ประเทศโรมาเนีย ในยุคโบราณนั้นแบ่งแยกปกครองตนเองเป็นแคว้นเล็กๆ คือ วัลลัคเฮีย ทรานซิลเวเนีย และ มอลดาเวีย พึ่งรวมกันกลายเป็นประเทศเมื่อปี 1859 หรือตอนที่รัชกาลที่ 5 ของเราครองราชย์ได้แค่ 3 ปีเท่านั้นเอง ครับ)
"เจ้าชายวลาด" นี่เกิดตอนปี คศ 1431 (ตรงกับปีแรกในรัชกาลของพระบรมไตรโลกนาค หรือ อยุธยาตอนต้น ของไทยครับ) อย่างที่เขียนไปแล้วว่าพ่อของ "เจ้าชายวลาด" เป็นอัศวินแห่งคริสต์ แต่ท่านก็เป็นคนแรกที่หันหลังทรยศให้กับพระเจ้าเหมือนกัน เพราะท่านโดนหักหลังจากพันธมิตรคริสเตียนด้วยกัน ที่แอบหันไปสนับสนุนคู่แค้นของท่าน ให้มายึดอำนาจจากท่านไปได้ สุดท้ายท่านก็เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากศัตรูคู่แค้น คือ "สุลต่านมูราดที่ 2" (Murad II) ให้มาช่วยแย่งบันลังก์คืน โดยมีข้อแม้จะส่งเครื่องราชบรรณาการไปให้อาณาจักรออตโตมาน ทุกๆปี
และเครื่องบรรณาการที่สำคัญที่สุด ก็คือ ลูกชายทั้ง 2 คนของท่าน คือ "เจ้าชายวลาด" และ "เจ้าชายราคู” ที่ต้องถูกส่งไปเป็นตัวประกันให้อยู่กับสุลต่านมูราดที่ 2 โดยให้ฝึกวิชาทหารกับพวก Janissary* พร้อมกับศึกษา "พระคัมภีร์กุรอ่าน" ล้างสมองให้เป็นมุสลิมที่เคร่งขรัด ให้ได้
(*Janissary คือ กองกำลังต้องถือว่าเก่งและโหดร้ายที่สุด ของ อาณาจักรออตโตมาน โดยเค้าจะเกณฑ์เอาเด็กชายเชลยสงครามที่มีอายุตั้งแต่ 12 - 15 ปี ไม่ให้ติดต่อ และ ตัดขาด จากพ่อ จากแม่ จากครอบครัว และที่สำคัญคือศาสนาที่เคยนับถือมาดั่งเดิม แล้วจัดการฝึกอย่างหนัก ล้างสมองว่าทั้งหมดนั้นมีครอบครัวอยู่ครอบครัวเดียว คือ กองกำลัง Janissary ด้วยกันเองเท่า ประมาณกันว่าในยุคออตโตมานรุ่งเรืองสุดๆ จะมี Janissary อยู่เกือบจะ 130,000 นาย ครับ)
ปรากฎว่า "เจ้าชายวลาด" ที่ตอนนั้นอายุแค่ 13 ปี ไม่ว่าจะถูก เคี่ยวเข็น ควบคุม อย่างเข้มงวดเท่าไร แต่ท่านก็ยังคงยึดมั่นในคำสอนของพระเยซูเจ้า ต่างกับ "เจ้าชายราดู" ที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ที่ถูกกล่อมเกลาเสียจนกลายเป็นอิสลามอย่างเต็มตัว แถมด้วยความที่ "เจ้าชายราดู" เป็นคนหล่อ หน้าตาดีมากๆ เลยได้รับฉายาว่า “Radu The Handsome"(รูปงาม) อีกทั้งกลายเป็นที่ต้องตา ถูกใจของลูกชายสุลต่านมูราดที่ 2 ซึ่งภายหลังได้ขึ้นครองอำนาจเป็นสุลต่านเมมเม็ดที่ 2 (Mehmet II) จนมีการแอบกระซิบกันดังๆว่า "เจ้าชายราดู" นั้นเป็นหนึ่งใน “สนมหนุ่มของสุลต่าน" เหมือนกัน ครับ
ในสมัยของ "เมมเม็ดที่ 2" นี่เอง ที่พวกแขกออตโตมานสามารถโจมตีทำลายอาณาจักรคริสเตียนไบเซนไทน์ แล้วยึดเอาเมืองหลวง คือ "คอนสแตนตินโนเปิล" มาได้ แล้วก็จัดการเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น “อิสตันบูล” (พวกออตโตมานก็คือแขกตุรกีในปัจจุบัน ไงครับ) ตัว Mehmet II เอง ก็กลายเป็น Mehmet the Conquerer หรือ "เมมเม็ดผู้พิชิต" โดย "เจ้าชายราดู" นี่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ ว่าเป็นแม่ทัพมือขวาคนสำคัญของ "เมมเม็ด" ด้วยครับ
ตอนที่ "เจ้าชายวลาด" อยู่กับพวกออตโตมานเนี่ย เชื่อกันว่า ท่านไม่มีความสุข ถูกกดขี่ แถมยังอาจจะมีอิจฉาน้องชายอยู่หน่อยๆ ที่แซงหน้ากลายเป็นคนสนิทของสุลต่านไปได้ สุดท้ายท่านเลยอาจจจะเก็บกด ติดนิสัยโหดร้าย ชอบเรียนรู้วิธีทรมานแบบต่างๆ แม้แต่วิธีการใช้ไม้เสียบคนจากรูทวารหนักไปโผล่ทางปาก ก่อนเอาไปปักประจานให้ตายอย่างช้าๆ นั้น ท่านก็เรียนรู้มาจากพวกออตโตมาน มาจากช่วงนี้ครับ
วิธีเสียบทรมานนี่ กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของ "เจ้าชายวลาด” จะนำไปใช้โดยตลอด ว่ากันว่า บางครั้งแกเล่นเสียบศัตรูของแกหมื่นๆให้ตายช้า เรียกว่าเห็นซากมนุษย์ถูกเสียบแบบ สุดลูกหู ลูกตา แม้แต่ออตโตมานเจ้าตำรับมาเห็นเอง ก็ต้องอายครับ เลยมีการตั้งฉายา "เจ้าชายวลาด" ว่า "Vlade the Impaler" (วลาดจอมเสียบ)
(แต่ผมก็แอบเห็นใจแกนิดๆนะครับ เพราะที่แกทำไปนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า มีทหารที่น้อยกว่ากันเยอะ การเสียบประจานอย่างนี้ ถือว่า Psychological Warfare จิตวิทยาในการรบ อย่างหนึ่งได้เหมือนกัน ครับ)
เจ้าชายวลาดอยู่กับพวกตุรกีได้แค่ 6 ปี พ่อและพี่ชายของเค้า ก็ถูกพวกคริสเตียนจากฮังการีลอบสังหารตายไปอีกทั้งคู่ พวกออตโตมานเลยส่งเค้ากลับบ้านพร้อมกับกองกำลังทหารเพื่อแย่งบันลังก์คืนมา เพียงแต่พอเมื่อท่านได้ครอบครองอำนาจแล้ว ท่านกลับหักหลังพวกแขกมุสลิมอีกที กลายเป็นแกนนำกองกำลังของคริสเตียน ที่กลับมารบกับพวกอิสลามได้อย่างถึงพริกถึงขิง ช่วงนี้เองที่ชาวโรมาเนียน จึงเรียกท่านอย่างภาคภูมิใจว่า "วแลด แดรโค" (Vlad Draco) ซึ่งภายหลังจึงค่อยๆเพี้ยนเสียงเป็น "วลาด แดรคูล" (Vlad Dracul)
เพียงแต่การที่ "เจ้าชายวลาด" จับเชลยศึกออตโตมานมาเสียบอย่างโหดเหี้ยม เพื่อผลทางจิตวิทยา กลับกลายเป็นเหตุให้ "เจ้าชายวลาด" ถูกขับออกจากศาสนาคริสต์ อย่างเด็ดขาด แต่ว่าเขาก็มิได้หมดศรัทธาหรือหันหลังให้พระเจ้าแต่อย่างไร
เขาเลือกที่จะเดินทางมาที่กรุงบูดาเปสต์แห่งนี้ เพื่อเจรจาขอกำลังทหารเพิ่มเติมจาก "Matthias Corvinus" ที่เป็นกษัตรย์ของฮังการี เพื่อกลับไปรบกับพวกออตโตมานใหม่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกฮังการีตอนนั้นได้แอบไปตกลงเงียบๆกับพวกออตโตมานว่าจะสงบศึก เพื่อต้องการขยายดินแดนไปอีกด้านหนึ่งไปยังอาณาจักรโบฮีเมีย (สาธารณะรัฐเช็ค)
ยังไม่ทันได้เจรจาอะไรกันซักเท่าไหร่ พวกฮังกาเรี่ยนก็ทรยศเขา แล้วจับไปขังในคุกใต้ดินแห่งนี้ โดยกล่าวหาว่า "เจ้าชายวลาด" เป็นพวกนอกรีต และช่วงที่ถูกขังนี้เองที่ เขาทราบข่าวว่าภรรยาของเขาเสียใจมากจนกระทั่งผูกคอตาย แม้ว่าจะสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพียงไรก็ไม่ได้ผล และนี่น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้เขาหันหลังเดินจากพระเจ้า และก้าวเข้าสู่โลกแห่งความมืด กลายเป็นคนถูกสาป มิอาจลงนรก หรือ ขึ้นสวรรค์ ตายก็ไม่ได้ เกิดใหม่ก็ไม่ได้ ครับ
ผมเองก็ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเขาหนีออกจากคุกที่นี่ได้อย่างไร? แต่รู้ว่า วาระสุดท้ายของเขา หลังจากหนีออกมาได้ คือ ถูกพวกออตโตมานจับได้ แล้วก็จัดการเสียบเขาด้วยวิธีเดียวกันกับที่เขาทำกับพวกนักรบออตโตมานมาตลอดครับ เล่ากันว่าหลังจาก "เจ้าชายวลาด" ตายแล้ว ชาวเมืองปลดพระศพลงมาบรรจุลงใส่โลงหินแกะสลักสวยงามให้สมกับเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ แต่ครั้นพอเปิดโลงหินขึ้นมา กลับไม่มีพระศพของวลาดอยู่ และ นี่ก็เป็นตำนานที่กล่าวขานกันมา ครับ
เรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี่ ไม่ได้หมายความว่าจะมี "แวมไพร์" หรือ "แดร๊กคิวล่า" จริงๆนะครับ แต่ที่แน่ๆแล้ว สำหรับชาวโรมาเนีย "เจ้าชายวลาด" ทรงได้รับการยกย่องในเรื่องของความกล้าหาญในการต่อสู้กับกองทัพมุสลิมศัตรูผู้มารุกราน เราจะสามารถเห็นอนุสาวรีย์ของพระองค์ ปรากฎอยู่ในหลายๆเมือง และ ที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ท่านกลายเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจให้กับโรมาเนียอย่างมหาศาล ครับ #edtguide
สามารถดูรูปเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/wisanu/media_set?set=a.10153336053781863.1073741892.576436862&type=3
27 ก.ย. 2559